รวยแค่ไหนก็ซื้อสุขภาพที่ดีกลับคืนมาไม่ได้

เมื่อพูดถึงเรื่องเงินกับสุขภาพ มักตามมาด้วยการเปรียบเทียบว่าสิ่งใดสำคัญกว่าสิ่งใด บ้างก็ว่าสุขภาพสำคัญกว่า เพราะแข็งแรงแล้วก็สามารถหาเงินได้ บ้างก็ว่าเงินนั้นสำคัญกว่า ทำให้มีโอกาสไปพบแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชน มีโอกาสได้รับการรักษาที่ดีกว่า

สุขภาพกับเงิน อะไรสำคัญกว่ากัน

เรื่องนี้ก็เหมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน  สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์เป็นใบเบิกทางที่จะทำให้เราทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อที่จะให้ได้เงินตามมา  ส่วนเงินก็เป็นส่วนที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี มีเงินสามารถหาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ออกกำลังกาย อาหารดี แพทย์ดีๆ ได้มากมาย สามารถดูแลสุขภาพให้ดีได้ตามมา  จึงไม่มีประโยชน์ในการค้นหาว่าสิ่งใดสำคัญกว่าสิ่งใด ในเมื่อทั้งเงินและสุขภาพต่างก็มีความสำคัญทัดเทียมกัน เปรียบเทียบเหมือนเป็นฟันเฟือง 2 ชิ้น ที่อยู่ในเครื่องจักรเดียวกัน ถ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งทำงานบกพร่องไป ก็หมายความว่าเครื่องจักรนั้นจะต้องเกิดปัญหาตามมาแน่นอน

เงินไม่สำคัญเท่าสุขภาพที่ดี จริงหรือ??

คำพูดที่ว่าเงินไม่สำคัญเท่าสุขภาพที่ดีนั้น จึงไม่สามารถใช้ในเชิงตรรกะได้ แต่ใช้ในเชิงคำพูดเพื่อเตือนใจได้ เพราะสังคมไทยปัจจุบันเห็นเงินเป็นใหญ่ โรงงานทำ Overtime หามรุ่งหามค่ำ ดารานักแสดงหักโหมงานหนักจนกระเพาะปัสสาวะอักเสบเพราะไม่มีเวลาไปเข้าห้องน้ำได้ตามต้องการ พนักงานออฟฟิศทำงานหลังขดหลังแข็งมีปัญหาด้านสุขภาพเป็นออฟฟิศซินโดรม หรือการทานอาหารไม่เป็นเวลา เป็นต้น การทำงานอย่างขาดสมดุลนั้นก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา ร่างกายทรุดโทรม ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้ในที่สุด

ถ้าต้องเลือกระหว่าง เงินกับสุขภาพ เราจะเลือกอะไร

ถ้าเลือกได้คนเราก็อยากเลือกทั้งสองทาง มีทั้งเงินและมีสุขภาพที่ดี ซึ่งก็ไม่ยากเกินความพยายาม คำแนะนำก็คือควรจะจัดสมดุลของงานและการใช้ชีวิตให้เหมาะสมหรือ Work Life Balance ซึ่งเป็นคำที่นิยมพูดถึงกันมากในทศวรรษนี้ คือการทำงานตามกำหนดเวลาและมีเวลาในการทำกิจธุระส่วนตัว ให้เวลากับครอบครัว พ่อ แม่ ลูก และการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้เกิดความสมดุลในการใช้ชีวิต มีทั้งสุขภาพที่ดีและมีเงินเพียงพอในการดำรงชีวิตในระยะยาว

♡♡♡

คำถามว่าอะไรสำคัญกว่าอะไรคงไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ คนเราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะคุณมีสิทธิ์เลือกได้ทั้งสองอย่าง